ให้ userdir ใช้งาน php ได้ เป็นคนๆ ไป

<IfModule mod_userdir.c>
    <Directory /home/*/public_html>
        php_admin_value engine Off
    </Directory>

# เพิ่มเป็น user ไป

    <Directory /home/your_user_name/public_html>
        php_admin_value engine On
    </Directory>
</IfModule>

อนุญาตให้เป็นคนๆ ไป ให้เพิ่มตัวนี้ ถ้า user ไหนไม่ได้ใช้งาน php ก็ไม่ต้องเพิ่ม

การใช้ Lan 2 วง กับการ์ดแลน 2 ใบ ด้วยคำสั่ง ROUTE

เนื่องมาจาก ต้องบริหารจัดการเครือข่ายภายในหน่วยงาน จึงทำให้มีวงแลนในบางชุด ที่แตกแยกออกไป ทำให้ไม่สามารถควบคุม และบริหารจัดการผ่าน firewall และ load balance ได้ จึงต้องเพิ่มการ์ดแลน ในเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาอีก 1 ใบ หรือมากกว่า ถ้ามีมากกว่า 1 วง เมื่อทำการติดตั้งการแลน และทำการ fix ip เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่ fix ip เพื่อให้การบริหารจัดการที่ง่ายกว่า ในกรณีที่เราอยู่นอกสถานที่ ... มาเข้าเรื่องกันต่อ หลังจากที่เรา fix ip ไป เมื่อกด ok มันจะแจ้งเตือนเราว่า มี gateway ซ้ำซ้อน ก็ไม่ต้องสนใจ ให้คลิก ok รับทราบไป จากนั้น ไปเปิด command prompt ขึ้นมาเพื่อกำหนดค่าให้มันใหม่

Start -> พิมพ์ cmd -> enter

route print -4

route delete 0.0.0.0 mask 0.0.0.0

route add 0.0.0.0 mask 0.0.0.0 192.168.110.1

route add 203.157.0.0 mask 255.255.0.0 192.168.1.3

route add (ip ที่ต้องการ) mask (subnet) ipgateway

tracert domain

Fortigate 200B น๊อค

หลังจากที่ระแวงมานาน เจ้าตัว firewall ก็เกิดอาการน๊อค ไม่ออกตาม policy ที่ตั้งเอาไว้ เวรกรรมเลยทีนี้ พึ่งจะคุยๆ กับไอ้แต กับพี่เลงอยู่ว่า มันนานแล้วนะ จะห้าปีแล้วที่ไม่ได้ต่ออายุอะไรเลย ตอนนี้ อาการมันมาให้เห็นแล้ว วันนี้ ทดสอบด้วยการแก้คอนฟิกใน vdom moph ดูก่อน ว่าอาการมันเป็นเพราะอะไร เพราะตอนนี้ พอเสียบแยกแล้ว ใช้งานได้ปกติดี แต่ความเสี่ยงสูงมากเกินไป ยกเลิกการ route ใน vdom root เอาไว้ก่อน ให้มันวิ่งออกปบบปกติก่อน เพื่อเทส ไม่งั้น อาจจะไม่เหมือนเดิม เฮ้อ ทีละขั้นตอน อย่าให้ถึงกับพังเลย เสียดาย

ติดตั้ง server nginx ใหม่ รองรับเวป

ติดตั้ง server ใหม่โดยใช้ ubuntu 14.04 แล้วใช้งาน nginx แทน apache2 โห ยุ่งยากพอได้เลยนะ ไม่ธรรมดา เดี๋ยววันนี้เทสดู จะได้เรียนตาม อ.คมสันต์ทัน เดี๋ยวทำไม่ทัน จะงง แกอัดไปหลายคลิปแล้วด้วยสิ มึนตึ๊บ

lvreduce และ lvextend

หลังจากที่ใช้งานสารบรรณออนไลน์มาได้หลายเดือน รับหนังสือจากกระทรวงได้แบบไม่มีปัญหา พอจะมีการจัดอบรมครั้งใหญ่ (หรือเปล่า) ของกลุ่มบริหาร กระทรวงฯ  ก็เลยจะปรับพื้นที่ดิสที่เหลือในเครื่อง ให้รองรับกับการใช้งานระดับจังหวัด (สสจ รพท รพช สสอ) หนังสือก็จะมีมากขึ้น และใช้งานพื้นที่เพิ่มขึ้น เช็คจาก server แล้ว ปรากฎว่าตอนที่แบ่งพื้นที่ ใช้ lvm ในการแบ่งแบบอัตโนมัติ ซึ่งมันแบ่งไปให้ /home ซะ 40gb แล้วแบ่งไว้ให้ / 40gb เหมือนกัน อ้าว /home ไม่ได้ใช้งานเลย ก็เลยจะปรับให้พื้นที่เหลือเพียง 2gb และเอาที่เหลือไปเพิ่มให้กับ / แทน คำสั่งที่ทำครั้งแรก ทำให้ระบบ พังไปเลย ก็เลยมาเรียบเรียงคำสั่ง ที่ใช้งานสำหรับการ ลด path อื่น มาเพิ่มให้อีก path นึง ...ยังไม่พูดถึงการเพิ่มดิสนะ อันนั้นแค่ extend ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก เดี๋ยวเขียนอีกรอบ อะ.. ว่าไปๆ

reboot เครื่องซักรอบครับ เอาฤกษ์เอาชัย หลังจากบูทมาแล้ว เข้าด้วย user root แล้ว umount path ที่ต้องการจะลดขนาดครับ (ใช้ df -h เพื่อดูชื่อ path ที่ต้องการลด)

umount /dev/mapper/VolGroup-lv_home

เสร็จแล้ว ให้ตรวจเช็คก่อนครับ ไม่ทำไม่ได้ เพราะมันไม่ผ่านคำสั่งให้

เช็คด้วยคำสั่งนี้ ต้อง pass ทั้ง 5 ข้อครับ

e2fsck -f /dev/mapper/VolGroup-lv_home

หลังจากผ่านแล้ว ก็ลดขนาดของ path ที่ต้องการโดยใส่จำนวนที่ต้องการให้ "เหลือ" ไว้ครับ ตัวอย่างคือลดเหลือ 4GB ครับ

resize2fs -p /dev/mapper/VolGroup-lv_home 4G

จากนั้นสั่งย่อ

lvreduce -L 4G /dev/mapper/VolGroup-lv_home

แล้วตรวจสอบให้ pass 5 ครั้งเหมือนเดิม

e2fsck -f /dev/mapper/VolGroup-lv_home

เนื่องจากไม่ได้จะแบ่งไปให้ใช้ path อื่นอีก พื้นที่ที่ตัดออกมาให้เติมกับ / ให้เต็มทั้งหมด [ใช้ +100%FREE แต่ถ้าจะระบุเป็นจำนวน GB ก็ใส่ +xG (x=จำนวนGB)]

lvextend -l +100%FREE /dev/mapper/VolGroup-lv_root

หรือใช้ -L ใหญ่ (centos) ต้องลองๆ คำสั่งดู 555 

lvextend -L /dev/path 

เขียนลงให้ครบๆ

resize2fs -p /dev/mapper/VolGroup-lv_root

ตรวจสอบด้วย fdisk ครับ ว่าดิสที่ถูกปรับ ตรงตามที่ต้องการแล้ว

fdisk -l

ถ้าตรงตามที่ต้องการแล้วก็ให้ mount path ที่ย่อกลับเข้าระบบเหมือนเดิม

mount /dev/mapper/VolGroup-lv_home

ตรวจสอบว่า path ที่ย่อและขยาย ถูกต้องด้วย df

df -h

สุดท้าย reboot เพื่อเช็คระบบว่าทำงานได้สมบูรณ์ครับ ถ้าจะไม่รีบูท ก็ได้เช่นกัน

เปลี่ยน editor vi เป็น nano

หลังจากที่ทำระบบ server มานานด้วย ubuntu ซึ่งการแก้ไขไฟล์ต่างๆ ส่วนใหญ่ จะใช้งาน nano มากกว่า vi เพราะว่าจำคำสั่งไม่ได้ (nano เป็น default editor ของ ubuntu) และ vi ต้องมีการกดอักษรคำสั่งก่อนจะกระทำการใดๆ พอถึงเวลาแก้ไขชุดคำสั่งบางอย่าง เช่น crontab หรือใช้งาน external editor ของโปรแกรม mc (midnight commander) ก็จะเกิดอาการ งงๆ เงิบๆ ไปต่อไม่เป็น เพราะไม่ค่อยได้ใช้งาน สรุปสั้นๆ ถนัด nano มากกว่า ก็เลยต้องการที่จะตั้งค่าให้เป็น default editor ไปซะเลย จะได้ไม่ต้องสับสน

nano /etc/bashrc

แล้วไปที่ท้ายไฟล์ เพิ่มคำสั่งตามนี้ครับ

export EDITOR="nono"

แค่เนี่ย แล้วออกจากระบบ เข้าใหม่ ทดลองใช้คำสั่ง crontab -e ครับ จะเห็นว่า editor เปลี่ยนไปเป็น nano แล้ว เรียบร้อย สบายไปได้อีกนาน สำหรับผู้ที่ใช้งาน ubuntu อยู่แล้ว มันเป็นค่าปกติมาให้แล้ว ถ้ายังเป็น vi ก็สามารถรันคำสั่งให้เลือกได้ครับ

alternative --config editor

ย้าน และปรับระบบ server

ทำการย้าย server จาก hardware ไปลง vm ที่ sever esxi ทำให้ทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องบริหารจัดการเยอะ มากเหมือนคงแยกเครื่อง ตอนนี้ ย้ายได้สามระบบแล้ว แต่ ยังไม่สมบูรณ์ 100%  จบงานไปที่เครื่อง www และ ict ในส่วน intranet และ mail server ยังไม่ได้จัดการ เพราะว่ายังเลิก mail service ได้ไม่ถูกใจ และระบบป้องกัน ต้องมากหน่อย เพื่อความไม่ประมาท แต่หลักๆ จะใช้งานในส่วนของ moph.mail.go.th เพราะใช้ในการติดต่อประสานงานมากกว่าเรื่องส่วนตัว ก็ดีไปอีกอย่าง แบ่งเมล์เป็นอย่างๆ ไป จะได้ไม่มีปัญหาในเรื่องการทำงาน แล้วมันใช้งานในส่วนขอว pop และ smtp /ด้อย่างดี สบายกันไป

Quick fix สำหรับ vmware ที่ไม่สามารถ Take OnwerShip ได้

Quick fix: 1. Go to the virtual machines directory, i.e. where VM files are stored on host OS.
3. Check for lock (.lck) folder inside usuually has vmdk.lck, vmem.lck, vmx.lck extensions.
4. Move or change the destination folder path. (dont forget to backup JIC – just in case)
5. Click the list of VM and it should be on suspended mode / power off mode.
6. If its fixed, delete the .lck files and voila.

[HOW TO] use navicat connect to sql server on linux ubuntu

ถ้าเกิดไม่สามารถใช้ NaviCat ติดต่อกับ host ที่อยู่ภายนอกได้ ณ ที่นี้หมายถึง host ที่ไม่ได้จำลองขึ้นมาเอง เป็นเครื่องเช่า หรือเครื่องอื่นที่ติดตั้งไว้ ให้ไป copy ไฟล์ที่ชื่อ ntunnel_mysql.php อยู่ใน
C:\Program Files\PremiumSoft\Navicat\

(รวมถึงการติดต่อกับ Postgres ด้วยเช่นกัน)
จากนั้น upload ไปไว้ใน root directory ของเว็บไซต์ อาทิเช่น

www.test.com/ntunnel_mysql.php
10.0.1.128/ntunnel_mysql.php

จากนั้นให้เปิดโปรแกรม Navicat ขึ้นมา และใส่ url ของไฟล์นี้ไปที่ tab HTTP

จากนั้นลอง connect ใหม่

หากไม่สามารถ connect ได้ อาจจะเกิดอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือ host จำกัด ip address ในการ connect
ถ้าทำวิธีนี้แต่แรก ไม่ต้องใช้ http tunnel นะครับ หรือจะจำกัด ip ในการเข้าถึงฐานข้อมูลก็ได้เช่นกันครับ

เข้าไปยังไฟล์ config ของ mysql ใน ubuntu จะอยู่ที่

# /etc/mysql/my.cnf

ใส่ # ในบรรทัด
#bind-address           = 127.0.0.1

หรือหากต้องการกำหนดให้ ip ไหนเข้าจัดการเครื่องได้ ก็ใส่ลงไปครับ เช่น

#bind-address = 10.0.1.10     //กำหนดให้เครื่องที่มี ip 10.0.1.10 เข้าจัดการเครื่องได้เครื่องเดียวเท่านั้น

จากนั้น save ให้เรียบแล้วแล้วทำการ restart mysql ด้วยคำสั่ง เพื่อให้ใช้งานการตั้งค่าใหม่

# service mysql restart

เสร็จแล้ว ลอง Test Connection ดูครับ

How to Enable and Configure Apache2 Userdir Module in Ubuntu Server 12.04+/Linux Mint 14+

Apache2 userdir module is used to create a webroot in the user’s home directory. By using userdir module each user that is in the system will have the Apache2 root directory with the folder name public_html  in the home directory, If you using any web browser to access the webroot folder in the user directory you should use the “~” afterwards username. So, the url address to be http://[hostname]/~username/

By default Userdir Module is available when apache2 package installed on ubuntu server but not yet active. We just need to enable userdir module to be used. Follow the guide how to enable Apache2 Userdir Module in ubuntu server.

โดยปกติ apache2 จะไม่เปิดการให้บริการกับ user เพื่อทำเวปไซค์ได้ ต้องตั้งค่าต่างๆ ด้วยมือครับ คำสั่งย่อๆ สั้นๆ ใช้งานได้ตั้งแต่ ubuntu 12.04 ขึ้นไป หรือ Linux Mint 14 ขึ้นไปครับ

Enable Apache2 Userdir Module in Ubuntu Server 12.04

Make sure the Apache webserver is installed correctly. I’ve already wrote about How to Install LAMP server you can found it here.

Use command a2enmod to enable Apache2 userdir module. these command will be create symlink /etc/apache2/mods-available/userdir.load and /etc/apache2/mods-available/userdir.conf in to directory /etc/apache2/mods-enable/

sudo a2enmod userdir

Restart apache2 daemon with following command

sudo service apache2 restart

Ceate folder “public_html” in the home directory, then set permission public_html folder to 0755

mkdir ~/public_html && chmod 0755 ~/public_html

Apache2 Userdir Module Support PHP Script ทำให้ user สามารถใช้งาน php ได้ด้วย เพราะปกติจะใช้งานได้แค่ไฟล์ htm,html เท่านั้นครับ

After userdir module enabled, users can put HTML files into the folder /home/username/public_html. But only static HTML files only, PHP scripts can not be used. Although Apache2 have been bundled with PHP module.

PHP files from user’s public_html directory is disabled by default for security reasons. so that all PHP files that is inside the public_html folder will be recognized as mime-type Application/octet-stream and will be downloaded when accessed via web browser. If you want to enable PHP processing when using userdir this is what you need to do. First you edit following Apache configuration file in this way:

sudo nano /etc/apache2/mods-available/php5.conf

Now you need to comment out a line php_admin_value engine Off

Before:

… <IfModule mod_userdir.c> 
<Directory /home/*/public_html>
 php_admin_value engine Off
 </Directory>
 </IfModule> …

After:

… <IfModule mod_userdir.c> 
<Directory /home/*/public_html>
 # php_admin_value engine Off
 </Directory>
 </IfModule> …

Save and exit, then reload apache2 configuration with following commad:

sudo /etc/init.d/apache2 reload

To testing PHP script work or not in the public_html directory, you can create some php script. In this case we are using phpinfo, in terminal type following command

echo '<?php phpinfo(); ?>' > ~/public_html/info.php

อ่านมาตั้งนาน งงกันไม๊ครับ เป็นวิธีการทำให้ directories ของ user สามารถใช้งานเป็นเวปไซค์ของตัวเองได้ โดยจะมี ~user เป็น path ตาม url ครับ เช่น http://127.0.0.1/~ton/info.php ครับ ก็จะเห็นหน้าต่างแสดงรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆของ server php5 และอื่นๆ ครับ

เปิดการใช้งาน Blog สำหรับงานยุทธศาสตร์

เปิด blog ใหม่ให้กับงานยุทธศาสตร์ เพราะว่าทำใน web server ของ สสจ แล้วมีปัญหามากจัง ทำด้วย blog เนี่ยแหละ ใครอยากเขียนอะไรก็มาเขียนละกัน แต่ละคนก็มีเมล์ gmail กันหมดแล้ว สบายๆ ว่ากันไป พี่ป๋อมคงสบายกว่าเดิมเยอะ เขียนก็ง่าย ไม่ต่างอะไรกับโพสบอร์ด แบบนี้แหละ ดีแล้ว แล้วค่อยทำกรอบต่างหากออกไปแยกๆ ไป ง่ายดี

ชี้แจงเรื่อง datacenter

วันนี้วิรัตน์ ชี้แจงเรื่องจังหวัดต้องทำ datacenter โดยเริ่มต้นจาก สสจ เป็นฐานข้อมูลหลัก โดยเริ่มดำเนินการส่งข้อมูลขึ้นมาจาก สอ และ รพ โดยตรง ก็ยังพอเห็นปัญหาอยู่บ้าง แต่คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก ก็ดูๆ ไป เราอยู่นิ่งๆ ทำระบบเครือข่ายให้ผ่านไปเรียบร้อย จะดีกว่า

ติดตั้ง CentOS6 9ton.co.cc & Data Center

ทำการติดตั้ง centOS6 เพิ่มเติมสำหรับ host 9ton.co.cc เพื่อการทดสอบการให้บริหารอินเตอร์เน็ต พึ่งลงเสร็จใหม่ๆ เลยยังไม่รู้จะต้องทำอะไรต่อไป

วันนี้วิรัตน์เรียกประชุม/อบรม การส่งข้อมูลเข้าสู่ datacenter ที่จังหวัดทำ server เอาไว้เอง 3 เครื่อง การทำงาน การใช้งาน หรืออะไรก็ตามแต่ ไอ้กระผมไม่รู้เรื่องเลยซักอย่าง คำถามก็คือ?? ทำไมใช้ RedHat 5 ทั้งๆที่น่าจะอัพขึ้นเป็น 6 หรือมากกว่า หรือเป็น CentOS ไปเลย เพราะว่าเป็นแพทฟอร์มเดียวกัน และมีการอัพเดทอยู่ตลอด หรือมัน stable?? มากกว่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าทีมที่คิดโปรแกรมนี้ขึ้นมา เค้าใช้แบบนี้ เออ ก็ว่าตามเค้าไป จัด ip ให้ไป 9 ip ตั้งแต่ 41-49 เพื่อบริหารจัดการเรื่อง datacenter โดยเฉพาะ ต้องดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนนี้?? โห ทำได้จริง ก็ขั้นเทพละเนี่ย มีเวลาถึงแค่วันที่ 25 นี้เท่านั้นเอง เอายังไงดีละ เดี๋ยววิรัตน์ก็คงจัดการเอง โห ไม่ได้อะไรเลยนะ ไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ เหอะๆ จะให้ช่วยอะไรก็บอกแล้วกัน งง รอทางทีมที่เค้าจะมาทำบอกอีกทีแล้วกัน ตอนนี้งงๆ

ทำการติดตั้งตาม howtoforce

เนื่องจากว่า CentOS6 ที่ลงไปเนี่ย เป็นแบบ 64bit แล้วลงพื้นที่เอาไว้ถึง 50Gb มันเป็น Graphic เลย งงๆ ปกติชินกับการติดตั้งผ่าน textmode ก็เลยต้องวิ่งมาใช้บริการ การ config ผ่านเวปเทพ ก็ทำตามเค้าไป อะไรที่ไม่น่าสนใจ ไม่ได้ใช้ก็ไม่ต้องติดตั้งนะครับ

http://www.howtoforge.com/perfect-server-centos-6.0-x86_64-ispconfig-2-p2

Disable SELinux CentOS6

# vi /etc/sysconfig/selinux# This file controls the state of SELinux on the system.
# SELINUX= can take one of these three values:
#enforcing - SELinux security policy is enforced.
#permissive - SELinux prints warnings instead of enforcing.
#disabled - SELinux is fully disabled.
SELINUX=disabled                             # change
# SELINUXTYPE= type of policy in use. Possible values are:
#targeted - Only targeted network daemons are protected.
#strict - Full SELinux protection.
SELINUXTYPE=targeted

ติดตั้ง webmin ใน Centos 6

จะต้องมี wget ถ้าไม่มี ให้ติดตั้งก่อน
yum install wget

ต่อไปสร้างไฟล์ webmin.repo
 nano /etc/yum.repo.d/webmin.repo

copy คำสั่งต่อไปนี้ใส่ลงไปในไฟล์ webmin.repo


[Webmin]
name=Webmin Distribution Neutral
#baseurl=http://download.webmin.com/download/yum
mirrorlist=http://download.webmin.com/download/yum/mirrorlist
enabled=1
เสร็จแล้วก็ save โดย Ctrl+x+y


cd /root
wget http://www.webmin.com/jcameron-key.asc
rpm --import jcameron-key.asc
yum install webmin

เป็นอันเสร็จ

เปิด webmin ใช้งานก็ http://หมายเลขไอพีของคุณ:10000

Centos 6 Install/Configure httpd

1] Install httpd สำหรับ CentOS6


[root@www ~]#
yum -y install httpd
# remove welcome page
[root@www ~]#
rm -f /etc/httpd/conf.d/welcome.conf

# remove default error page
[root@www ~]#
rm -f /var/www/error/noindex.html

# create a link for Perl
[root@www ~]#
ln -s /usr/bin/perl /usr/local/bin/perl


[2] Configure httpd.


[root@www ~]#
vi /etc/httpd/conf/httpd.conf
# line 44: change
ServerTokens Prod
# line 76: change to ON
KeepAlive On
# line 262: Admin's address
ServerAdmin
root@server.world
# line 276: change to your server's name
ServerName
www.server.world:80
# line 331: change (enable CGI and disable Indexes)
Options FollowSymLinks ExecCGI
# line 338: change
AllowOverride All
# line 402: add file name that it can access only with directory's name
DirectoryIndex index.html index.cgi index.php
# line 536: change
ServerSignature Off
# line 759: make it comment

#AddDefaultCharset UTF-8
# line 796: uncomment and add file-type that apache looks them CGI
AddHandler cgi-script .cgi .pl
[root@www ~]#
/etc/rc.d/init.d/httpd start
Starting httpd:
[ OK ]
[root@www ~]#
chkconfig httpd on

Openmeetings บน Ubuntu 10.04 LTS

1. ติดตั้ง Ubuntu 10.04

2. ติดตั้ง sun-java6

sudo add-apt-repository ppa:ferramroberto/java
sudo apt-get update

จากนั้นทำการติดตั้ง jre jdk โดยการพิมพ์

sudo apt-get install sun-java6-jre sun-java6-jdk

ต่อมาก็ ทำให้ Sun java เป็น default แทน Open java โดยการพิมพ์

sudo update-alternatives –config java

และเลือก /usr/lib/jvm/java-6-sun/jre/bin/java น่าจะเป็นตัวเลือกที่ 3

หากไม่มีตัวเลือกขึ้นให้ จะเป็นการแสดง path ให้เห็นเหมือน path ด้านบน ถือว่าติดตั้งสมบูรณ์แล้ว

3. ติดตั้ง Software ที่ต้องใช้งาน

   $ sudo apt-get install -y java-package sun-java6-bin sun-java6-jdk sun-java6-jre mysql-server openoffice.org-writer openoffice.org-calc openoffice.org-impress openoffice.org-draw openoffice.org-math imagemagick gs-gpl libart-2.0-2 libt1-5 zip unzip bzip2 subversion git-core checkinstall yasm texi2html libfaac-dev libfaad-dev libmp3lame-dev libsdl1.2-dev libx11-dev libxfixes-dev libxvidcore-dev zlib1g-dev libogg-dev sox libvorbis0a libvorbis-dev libgsm1 libgsm1-dev libfaad2 flvtool2 lame swftools

4. ติดตั้ง ffmpeg โดย Download  Version ล่าสุดได้ที่ http://www.ffmpeg.org

เพิ่ม source ลงใน source.list โดยดูจาก version ubuntu ที่ท่านใช้ ของผมเป็น 10.04 ได้ดังนี้

deb http://ppa.launchpad.net/jon-severinsson/ffmpeg/ubuntu lucid main 
deb-src http://ppa.launchpad.net/jon-severinsson/ffmpeg/ubuntu lucid main 

จากนั้นต้องเพิ่มคีย์ต่อท้ายลงไปด้วย แต่ให้ไปเอาจากเวปนะครับ เนื่องจากตรงนี้อาจจะเปลี่ยนได้

Signing key:

1024R/CFCA9579 

add-apt-repository ppa:gwibber-daily/ppa
apt-key adv --keyserver keyserver.ubuntu.com --recv-keys CFCA9579


จากนั้นให้ทำการ apt-get update ครับ
ติดตั้ง ffmpeg ด้วยคำสั่ง
apt-get install ffmpeg


5. ติดตั้ง Openmeeting

   Download openmmeeting http://openmeetings.googlecode.com/files/openmeetings_1_6_rc1_r3621.zip

   $ unzip openmeetings_1_6_rc1_r3621.zip
   $ mv red5 /opt/

   $ chown -R nobody\: /opt/red5
   $ chmod +x /opt/red5/*.sh
   $ chmod +x /opt/red5/webapps/openmeetings/jod/*.sh

6. Config OpenMeeting

   สร้างไฟล์ red5,openoffice ที่ /etc/init.d
   Code red5
   $ nano /etc/init.d/red5

   Code openoffice 
   $ nano /etc/init.d/openoffice

   $ chmod +x /etc/init.d/red5
   $ chmod +x /etc/init.d/openoffice

   $ update-rc.d red5 defaults
   $ update-rc.d openoffice defaults

7. Create Database

   $ echo "CREATE USER openmeetings@localhost;" | mysql -u root -p
   $ echo "CREATE DATABASE openmeetings DEFAULT CHARACTER SET 'utf8';" | mysql -u root -p
   $ echo "GRANT ALL PRIVILEGES ON openmeetings.* TO 'openmeetings'@'localhost' IDENTIFIED BY 'Password ของ database' WITH GRANT OPTION;" | mysql -u root -p
   $ echo "FLUSH PRIVILEGES;" | mysql -u root -p

 # Config Connection file
   $ nano /opt/red5/webapps/openmeetings/conf/hibernate.cfg.xml

 # บรรทัดที่ 12,13 แก้ User&Password

    (-- User / Password --)
   (property name="connection.username")
    openmeetings
    (/property)
    (property name="connection.password")
    Password ของ database
    (/property)


   (! -- for performance reasons changed to MyISAM from org.hibernate.dialect.MySQLInnoDBDialect --)
   (property name= " dialect " )
   org.hibernate.dialect.MySQLMyISAMDialect
   (/property)
   (property name= " connection.url ")
   jdbc:mysql://localhost/openmeetings
   (/property)

   $ /etc/init.d/red5 start
   $ /etc/init.d/openoffice start

8. ทำการติดตั้ง  -> http://localhost:5080/openmeetings/install